ตามทางฝันบนความหวังที่เลือนลาง

ในชีวิตของคนหนึ่งคนสามารถอดทนและแบกรับความทุกข์ความผิดหวังได้มากแค่ไหน คนทุกคนเกิดมาพร้อมความฝันและพยายามทำให้ฝันเป็นจริง แต่จะมีซักกี่คนที่ไม่กล้าแม้แต่จะฝันไม่กล้าคาดหวังอะไรทั้งสิ้น เพราะฝันได้แค่ฝันไม่มีวันทำตามฝันได้ หวังแล้วก็ผิดหวังไม่เคยพบเจอกับคำว่าสมหวังเหมือนใครเขา เพราะคนเราเลือกเกิดไม่ได้ใครๆก้อรู้ดี แต่ทำไมยากจังที่จะหาใครมาเข้าใจว่า ไม่มีใครอยากเกิดมาเป็นคนไร้สัญชาติ แค่ถูกตัดสิทธิที่เธอควรได้รับมันก็แย่มากพอแล้ว ยังจะถูกสังคมซ้ำเติมอีก ถูกจัดว่าเป็นคนไร้ค่า เป็นขยะสังคม เป็นตัวบั่นทอนความเจริญ ถ้าคิดสักนิดสังคมต่างหากที่ยัดเยียดความน่ารังเกียจให้เขา คุณเอาอะไรมาตัดสินตัวเขาว่าเขาเป็นคนต่างด้าวถ้าคุณไม่พิสูจน์ คุณรู้ได้อย่างไรว่าเขาไม่มีความสามารถในเมื่อคุณยังไม่เคยเปิดโอกาสให้เขาได้พิสูจน์ตัวตน                    “เฝยเม่ง แซ่เติ๋น” เด็กสาวชาวเมี่ยน เธอเกิดที่หมู่บ้านน้ำกิ ต.ผาทอง อ.ท่าวังผา จ.น่าน มีพี่น้องอีกเก้าคน เธอเกิดวันนที่ 12 มิถุนายน 2533 เธอเคยถามใครคนหนึ่งว่าที่แห่งนี้ยังอยู่ในแผนที่ประเทศไทยหรือเปล่าถ้าใช่แล้วทำไมมีแต่คนเรียกเขาว่า “เด็กดอย” “เด็กลาว” หรือไม่ก็ “ต่างด้าว” เธอเองก็มีความหวังความฝันเหมือนคนอื่นๆ แต่เธอไม่สามารถทำตามความฝันได้ เพราะเธอขาดใบเบิกทาง คือ “บัตรประชาชน” สิ่งที่เธอ
อยากได้อยากมีมากที่สุดตั้งแต่วันแรกที่รู้ตัวว่าเป็นคนไม่มีสัญชาติจนถึงวันนี้คือ “ความยุติธรรม” เธอสงสัยมาตลอดว่าทำไมเธอและครอบครัวถึงไม่ได้สัญชาติไทย ทั้งๆที่เกิดบนผืนแผ่นดินไทย ปู่-ย่า-ตา-ยาย-ญาติพี่น้องของพ่อแม่ต่างก้อเป็นคนไทย พวกเขาพยายามติดต่อสอบถามกฎหมายเกี่ยวกับเรื่องสัญชาติจากหลายคนที่คิดว่าสามารถช่วยได้ พยายามดิ้นรนมาทุกวิถีทาง แต่ก็ไม่ได้รับความร่วมมือเท่าที่ควร หลายๆครั้งที่ท้อจนไม่อยากจะสู้ดิ้นรน หลายคราวที่ทำไปด้วยความหวังเต็มเปี่ยมแต่สุดท้ายคือผิดหวังกลับมาทุกที “พี่น้องคนอื่นๆเขาท้อกันหมดแล้ว เขาบอกว่าอย่าไปดิ้นรนเลย มันไม่มีประโยชน์หรอกวิ่งมายี่สิบกว่าปีแล้ว มีแต่ความว่างเปล่า ปล่อยวางแล้วทำมาหากินในแบบที่เราพอทำได้ดีกว่า ไม่มีบัตรเราสามารถอยู่ได้มาจนถึงทุกวันนี้แล้ว ทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุดแล้วอย่าทำความเดือดร้อนให้ใครมาดูถูกเราได้ก็พอ” แต่ เฝยเม่ง หรือที่เราเรียกกันว่า น้องริน เธอไม่ได้คิดแบบนั้น เธอไม่คิดจะนิ่งดูดายเธอคิดแต่ว่าเธอเป็นคนไทยเธอจะต้องได้สัญชาติไทย เธอจะทำทุกวิถีทางเท่าที่จะทำได้เธอเชื่อว่าความยุติธรรมกำลังรอเธออยู่ที่ไหนซักแห่ง และเธอต้องหามันจนเจอ เธอจะทำให้ความหวังของพี่น้องเป็นจริงให้ได้ ไม่ว่าจะผ่านเรื่องแย่ๆอะไรมา ไม่ว่าจะทุกข์หรือสุขเราก็จะได้เห็นรอยยิ้มของเธอเสมอ เพราะเธอคิดว่า “รอยยิ้มคือเครื่องรางที่ดีที่สุด เวลาทุกข์ให้ยิ้มไล่มันออกไป เวลาสุขก็ยิ้มเพื่อให้มันอยู่กับเรานานขึ้น”
       “ตั้งแต่จำความได้ก็เหมือนมีตราประทับบนหน้าว่าเป็น “ต่างด้าว” เพราะพ่อแม่ไม่มีสัญชาติ พวกเราทุกคนเลยไม่มีเหมือนพ่อแม่ จะด้วยเหตุผลอะไรที่ทำให้เราตกอยู่ในสภาพนี้ไม่ทราบค่ะ แต่พวกเราทุกคนเกิดในประเทศไทย ถามว่ามีใบแจ้งเกิด มีอะไรยืนยันได้บ้าง ก็ไม่มีค่ะ ด้วยความที่มีลูกเยอะมัวแต่ทำงานหาเลี้ยงให้ลูกๆทุกคนอยู่รอด เลยไม่ได้สนใจโลกภายนอก และในสมัยก่อนการคลอดลูกก็คลอดกับหมอตำแยในหมู่บ้าน โรงพยาบาลไม่เคยไปนอกจากว่าป่วยหนักรักษาด้วยสมุนไพรไม่ไหวแล้วถึงจะเดินทางไป เดินเท้าด้วยกว่าจะถึงก็ใช้เวลา 2-3 วัน ทุกวันนี้ก็เลยไม่รู้จะไปโทษใคร คิดได้แค่ว่ามันคงเป็นเวรกรรมของเราเอง ตอนเด็กไม่เคยรู้ว่ามันสำคัญยังไงเห็นพี่ๆวุ่นวายติดตามเรื่องกันก็ยังสงสัยว่าเขาทำอะไรกัน จนได้เข้าโรงเรียน ครูถามหาเอกสารทางราชการไม่มีให้ ก็ถูกเพื่อนล้อ มีอยู่ครั้งนึงครูถามชื่อ บอกว่าชื่อ เฝยเม่ง ครูบอกชื่อไม่เพราะ งั้นครูตั้งให้ใหม่นะ ชื่อ “ปริญญา” นะโตมาจะได้เรียนให้จบปริญญาเหมือนครูไง ประโยคนี้จำได้ไม่เคยลืม จากนั้นมาก็ใช้ชื่อนี้ในโรงเรียน” เธอเป็นเด็กตั้งใจเรียนผลการเรียนดีมาตลอด เธอพยายามที่จะสอบชิงทุนต่างๆแต่เธอก็ไม่เคยได้เข้าสอบกับเขา และครูก็ไม่ได้บอกเหตุผลที่แท้จริงกับเธอ อาจเพราะกลัวเธอเสียใจ แต่แล้วเธอก็ได้รู้ เมื่อครูขอเอกสารจากเธอพอเธอไปบอกพี่สาว เขาก็ได้เอาแบบพิมพ์ประวัติบุคคลไม่มีสัญชาติไทยมาให้ ตอนนั้นเองที่เธอได้รู้อะไรหลายๆอย่าง ที่ไม่มีสิทธิได้รับทุนการศึกษาเด็กยากจนเรียนดี ที่ไม่ได้สอบชิงทุนเพราะสิ่งนี้นี่เอง และอีกอย่างคือในแบบพิมพ์ประวัติเธอชื่อ เฝยเม่ง ไม่ใช่ ปริญญา ถึงตอนนี้เริ่มรู้แล้วว่าการไม่มีสัญชาติมันมีผลกระทบเยอะมาก “อย่างแรกเลยที่คิดได้ตอนนั้น ฉันอยากเปลี่ยนชื่อ อยากเรียนสูงๆ ไม่อยากให้ใครมาว่าเราว่าเป็นคนลาว เพราะเราไม่ใช่ แต่เราจะพิสูจน์ได้ยังไงนี่คือปัญหา เวลาจะเดินทางออกนอกพื้นที่ก็ต้องทำหนังสือเดินทาง และในแต่ละครั้งก็ออกได้แค่ 7 วัน ก็อาศัยเนียนๆไปไม่รู้ว่าวันไหนจะโดนจับได้ต้องใช้ชีวิตอย่างหวาดระแวง เวลาเห็นแรงงานต่างด้าวที่คนมักดูถูกก็รู้สึกว่าเราเองก็ไม่ต่างอะไรกับเขาเลย แย่กว่าเขาด้วยซ้ำ เขายังมีบัตรมีสัญชาติของเขา แต่เราสิไม่มี หลังจากเรียนจบ ปวช. ก็ไม่ได้เรียนต่อตามที่หวังไว้ เพราะฐานะทางบ้านไม่ดี กู้เงินเรียนก็ไม่ได้ จะทำงานส่งตัวเองเรียนก็หางานทำไม่ได้ สุดท้ายต้องยอมจำนนต่อเหตุผลที่เขาว่า “จะเรียนให้สูงไปทำไมเรียนจบมาก็ไปทำงานอะไรไม่ได้” เพราะไม่มีบัตร คิดนะว่าถ้าเรามีเราก็จะเป็นได้ ทำได้ทุกอย่างที่เราอยากเป็นอยากทำ”
         เธอไม่รู้ว่าที่ผ่านมาพี่ๆเธอได้ดำเนินการอะไรมาแล้วบ้าง บางครั้งเห็นไปขอคำปรึกษาผู้รู้มาแล้วกลับมาด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความหวัง พอไปดำเนินการจริงก้อเห็นพกความผิดหวังกลับมาทุกครั้งเป็นแบบนี้มาเรื่อย แต่ก็ไม่เห็นวี่แววว่าจะได้สัญชาติไทยมีแต่คำพูดใความหวังลมๆแล้ง วันหนึ่งเธอก็จุดประกายฝันให้ตัวเองด้วยความคิดที่ว่า “ปู่ย่าเป็นไทย พ่อก็ต้องเป็นไทย และพวกเราจะต้องเป็นไทย” จึงไปขอคำปรึกษาจากทางอำเภอว่าอยากจะทำเรื่องขอสัญชาติตามพ่อแม่ให้พ่อ แต่ก้อได้รับคำปฏิเสธกลับมา เพราะความไม่รู้เขาบอกไม่ได้ก็ล้มเลิก แล้วกลับไปนั่งคุยกันอีกครั้งสอบประวัติพ่อได้ความว่า ย้ายมาจาก อ.ปง จ.เชียงราย(ปัจจุบันเป็นอยู่ในเขตจ.พะเยา) พ่อบอกว่าเคยมีทะเบียนบ้านนะตอนอยู่พะเยา แต่พอแยกทางกันอพยพถิ่นฐานกับปู่ย่า ก็ไม่ได้กลับไปที่นั่นอีกเลย พอย้ายมาอยู่จ.น่านก็ไม่มีเอกสารอะไรติดตัวมา รัฐมาสำรวจบุคคลบนพื้นที่สูงก็ได้รับการสำรวจอีก เพราะคิดว่านั่นคือทะเบียน และทำที่ไหนก็เหมือนกัน เลยไม่ได้กลับไปที่เดิมอีกเลย แล้วพวกเราพี่น้องจึงไปขอให้ทางอำเภอช่วยค้นประวัติพ่อให้ แล้วก็ได้เจอสำเนาทะเบียนบ้านสมัยก่อนซึ่งระบุว่า พ่อมีสัญชาติไทยจริงอย่างที่พ่อบอก เราพยายามจะขอทำเรื่องขอสถานะคืน แต่ก็เหมือนเดิมคือไม่ได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานภาครัฐ ไปติดต่ออำเภอที่เกี่ยวข้องที่ไหนๆก็ปฏิเสธที่จะรับเรื่องไว้ มีปลัดท่านหนึ่งเอ่ยว่า “คุณเป็นใครมาจากไหนอยู่ดีๆก็ถือเอกสารมาใบเดียวแล้วอ้างว่าคุณเป็นคนไทยจะให้ผมเชื่อคุณได้ยังไงหลักฐานแค่นี้ยืนยันไม่ได้หรอก” และเจออีกหลายๆคำพูดที่ทำให้ท้อใจ เราไม่เข้าใจว่าถ้าไม่เชื่อแล้วทำไมไม่พิสูจน์ล่ะ เขายอมให้พิสูจน์ให้ตรวจสอบทุกอย่าง แล้วทำไมคุณไม่ทำ มันเป็นหน้าที่คุณไม่ใช่เหรอ
          มาถึงตอนนี้อยากจะให้ทุกคนได้รู้ว่าที่เราเป็นแบบนี้ เราไม่ได้อยากที่จะเป็น เพราะเราเลือกเกิดไม่ได้ ใครล่ะจะอยากเกิดมามีปมด้อย ใครล่ะอยากจะถูกคนอื่นมองอย่างดูถูกเหยียดหยามเหมือนเราไม่ใช่คน ใครบ้างจะอยากให้อื่นเรียกว่า “ต่างด้าว” อยากจะถามหน่วยงานราชการหลายๆฝ่ายว่า พวกคุณเคยมองเห็นปัญหาเหล่านี้มั้ย เคยคิดที่จะแก้ไขบ้างหรือเปล่า หรือเพราะมองพวกเราเป็นแค่ชาวเขา เลยไม่มีความสำคัญที่จะต้องช่วยเหลือ คุณจะรู้มั้ยว่ามีคนอีกมากมายได้รับความเดือดร้อน ขาดโอกาสในหลายๆด้าน เราก็เป็นแค่ชาวเขาไม่มีความรู้พอจะเรียกร้องสิทธิให้ตัวเองได้ ขอให้รู้เถอะว่าคนอย่างพวกเราก็สามารถสร้างประโยชน์ให้กับสังคมได้ ไม่ใช่ขยะสังคมอย่างที่ใครๆคิด แค่คุณสนใจที่จะแก้ปัญหาเหล่านี้สักนิด คนอีกมากมายจะได้รับโอกาสหลายๆอย่าง ปัญหาเล็กๆที่สังคมมองข้ามสิ่งนั้นกลับเป็นตัวกำหนดชีวิตความเป็นอยู่ของหลายๆคน บางคนบอกว่า “เงินมาทุกอย่างก็เรียบร้อย” ถ้าทำอย่างนั้นถึงมันจะเรียบร้อยแต่มันก็จะช่วยให้มีคนเลวเพิ่มขึ้นมาในสังคมเราอีก คนของกฎหมายทำผิดกฎหมายซะเองแล้วกฎหมายยังจะเชื่อถือได้อีกไหม จรรยาบรรณข้าราชการอยู่ตรงไหน?” ทุกวันนี้มีคนอีกมากมายที่ยังเดือดร้อนกับเรื่องนี้ปัญหาเล็กๆที่คนส่วนใหญ่มองข้ามและไม่คิดแก้ไขมีแต่จะตั้งเงื่อนไขให้เขาเหล่านั้นอับจนหนทางมากขึ้นทุกวัน
     บนความหวังที่เลือนลางก็ยังมีหน่วยงานที่ที่มองเห็นปัญหา คอยช่วยเหลือและให้คำปรึกษาที่ดีมาตลอด ขอบคุณมูลนิธิกระจกเงาที่ให้โอกาสได้มาเรียนรู้ ได้เจอประสบการณ์หลายๆด้าน มีโอกาสได้ช่วยเหลือคนอื่นๆ ไม่เคยคิดเลยว่าคนที่ไม่สามารถแก้ปัญหาไม่สามารถช่วยตัวเองและครอบครัวให้พ้นจากสถานะแบบนี้ได้จะสามารถช่วยเหลือคนอื่นได้ มาอยู่จุดนี้ทำให้มองเห็นปัญหากว้างขึ้นอีกได้รู้ว่าคนที่เดือดร้อนเหมือนเราเดือดร้อนกว่าเราคนที่ยังรอความช่วยเหลือก็ยังมีอีกมาก ขอเป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยแก้ปัญหาเหล่านี้ไปด้วยกันนะคะ ขอบคุณคลินิคกฏหมาย ขอบคุณ SCPP ขอบคุณ พชภ. และอีกหลายท่านที่ให้ข้อมูลและข้อคิดดีๆแนวทางแก้ปํญหาและขอบคุณเพื่อนๆและคนทางบ้านที่คอยให้กำลังใจมาโดยตลอด จะสู้ต่อไปจนถึงเป้าหมายที่วางไว้
“แม้จะต้องล้มลงเป็นครั้งที่ร้อย ไม่ท้อถอย จะลุกขึ้นให้ได้ในทุกครั้งที่ล้ม”
Copyright © 2018. All rights reserved.