วอนช่วยเหลือเพื่อซื้อเครื่องช่วยฟังและแว่นสายตา ให้คุณตาอาซอง วัย 89 ปี ให้กลับมาได้ยินและมองเห็นในบั้นปลายชีวิต

“คนบางคนมีเสื้อผ้าสวมใส่จนเหลือเฟือ แต่สำหรับคนบางคนไม่มีแม้เสื้อผ้าดีๆ สวมใส่ยามไกลเรือน”
   “คนบางคนมีรองเท้าดี ๆ สวมใส่จนยากจะตัดสินใจว่าใส่คู่ไหนดี แต่สำหรับคนบางคนขอแค่มีรองเท้าสวมใส่ไม่ให้หนามตำเท้าก็เพียงพอแล้ว”
     ด้วยวัย 89 ปี ของคุณตาอาซอง ทำให้หลายคนที่พบเห็นแทบไม่เชื่อเลยว่าท่านอายุเยอะขนาดนี้ การเดินเหินไม่เหมือนคนวัยเดียวกัน แต่สิ่งที่พอจะบ่งบอกได้  ว่าท่านอายุมากแล้วคือสายตาที่ฝ้าฟาง และหูที่ไม่สามารถรับรู้การได้ยินที่ชัดเจนมากนัก
     ทุกครั้งที่เข้าหมู่บ้านและได้พูดคุยผ่านลูกหลานของท่าน (ท่านสื่อสารภาษาไทยไม่ได้) ถามสารทุกข์สารสุข จะมีคำบอกเล่าตลอด “ตาอยากได้ยิน อยากเห็น  ชัด ๆ จะได้ช่วยยายหาหน่อ ช่วยยายหาเงิน”
     วันนี้มีโอกาสได้มารับท่านไปโรงพยาบาลเพื่อไปรับการตรวจวัดระดับการได้ยิน ระหว่างการเดินทางจากหมู่บ้านถึงตัวเมือง ด้วยความกลัวของตัวเองหรืออะไร  ไม่รู้ รู้แค่ว่ากังวลใจเพราะคนแก่กับการเดินทางไกล ๆ มันจะเหนื่อยมากทีเดียว แถมเราคนขับรถด้วย เกิดอาการเกร็งเลยทีเดียว เพราะตั้งแต่เกิดมาไม่เคยเลยที่  จะขับรถให้ผู้อวุโสขนาดนี้ และอีกอย่างตาเองก็ไม่เคยเลยที่จะนั่งรถไปไหนไกล ๆ ทั้งกลัวว่าท่านจะเมารถ กลัวโน้นนี่สารพัด สุดท้ายกลายเป็นว่าตาไปได้ฉลุย    ลุยเดินหน้า
มาถึงโรงพยาบาล  ตาบอกว่า ” ตั้งแต่เกิดมา นี่คือการเดินทางมาโรงพยาบาลครั้งแรกในชีวิต”
จากการพบหมอผลการตรวจคือ หูข้างหนึ่งไม่สามารถรับการได้ยินได้แล้ว (หนวกสนิท) ส่วนอีกข้างยังพอได้ยินบ้างแต่กำลังจะเข้าขั้นหูหนวกสนิทเช่นกันถ้าไม่รีบรักษาใส่เครื่องช่วยการได้ยิน  หลังตรวจเสร็จ คุณตาพยายามสื่อสารผ่านน้องแหม่ม (ล่ามภาษาอาข่าและเจ้าหน้าที่ของเรา)
“ไม่รู้จะมาทำไม มาก็ไม่ได้ยิน ได้ยินก็ได้ยินไม่ชัด” คุณตาบอกหลายต่อหลายรอบ ซึ่งความหวังอันยิ่งใหญ่ในชีวิตบั้นปลายของคุณตาคือ “การกลับมาได้ยินอีกครั้งเช่นคนปรกติ” แต่หมอก็พยายามอธิบายให้เราว่า ต้องใจเย็น ๆ ใส่เครื่องช่วยฟังแล้วใช่ว่าจะได้ยินชัดเจนเลยในวินาทีนั้น  แต่มันจะค่อยเป็นค่อยไปและจะค่อย ๆ ได้ยินชัดเจนขึ้น  เราก็ต้องมาอธิบายทำความเข้าใจกันอีกหลายรอบกว่าจะเข้าใจ  เพราะภาษาอาข่ามีบางคำที่ออกเสียงคล้ายกัน และด้วยความบกพร่องทางการได้ยินของหูคุณตาทำให้ตีความหมายผิดเพี้ยนไปมากโขทีเดียว
นึกถึงเรื่องนี้แล้วทั้งขำทั้งเศร้า
” แหม่ม ถามตาหน่อยสิ ว่าเมารถไหม  มึนหัวไหม  จะอ๊วกหรือเปล่า” น้องแหม่มทำหน้าที่ล่าม กะโกนกรอกหูคุณตาด้วยภาษาอาข่าอย่ารวดเร็ว  คำตอบที่ได้ ที่น้องแหม่มแปลให้เราฟังคือ
“ตายังไม่ตาย  ไม่รุ้เมื่อไรจะตาย จะอยู่ให้เกินร้อยปีหรือยังไงไม่รู้  หูก็ไม่ได้ยิน  ตาก็เห็นลาง ๆ ลูกหลานก็แก่ทันกันหมดแล้ว  จะอยู่อีกนานทำไมไม่รู้  เขาไม่ให้ตายสักที”  เจอคำตอบนี้เข้าไป ขำก็จะขำ น้ำตาก็จะไหล น้องแหม่มไม่กล้าถามอะไรต่อเลยทีเดียว
หลังคำวินิจฉัยของหมอ ครานี้มาสู่ขั้นตอนตัดสินใจใหญ่หลวงของเราหละสิ  คือคุณตา ไม่มีสัญชาติไทย ถือบัตรเลข 6 มีเฉพาะสิทธิ 30 บาท แต่ไม่สามารถขึ้นทะเบียนผู้พิการได้ เพราะคนที่สามารถขึ้นทะเบียนผู้พิการได้ต้องมีสัญชาติไทยเท่านั้น  คุณตาเลยไม่มีสิทธิที่จะขอรับเครื่องช่วยฟังได้ฟรี  ค่าใช้จ่ายที่ทางโรงพยาบาแจ้งมาถ้าเราต้องการคือ จ่ายเงินสดเท่านั้น ในราคา 9,000 บาท
เราเองพยายามทำทุกอย่างที่พอนึกได้ ยิงคำถามทุกคำถามที่ผุดมาต่อเจ้าหน้าที่ ณ เวลานั้น พยายามให้ตาได้เครื่องช่วยรับการได้ยิน แต่ก็สุดความสามารถ  เพราะด้วยจำนวนเงินที่สูง สำหรับการจัดซื้อเครื่องที่ว่า ถ้าจะให้คุณตาจ่ายเงินหรือคนในครอบครัวช่วยกันแชร์  มันเป็นอะไรที่เป็นไปไม่ได้เลย
คุณตาอาศัยอยู่กับยาย และหลานอีก 1 คน ทุกวันนี้ยายไปหาหน่อไม้ไร่มาขายพ่อค้าแม่ค้าที่มารับซื้อในหมู่บ้าน ราคาขึ้นลงแล้วแต่พ่อค้าแม่ค้ารับซื้อจะกำหนด วันหนึ่ง ๆ ได้เงินไม่เกิน 100 บาท ต้องเจียดเงินรายได้นี้มาซื้อข้าวสารกรอกหม้อ และส่งหลานที่แม่มาทิ้งไว้ให้ตั้งแต่เล็ก ๆ ได้ร่ำเรียนหนังสือ สามชีวิตในบ้านหลังนี้ฝากไว้กับการหาหน่อของยายเพียงคนเดียว เพราะตาช่วยได้ก็แค่ล้างหน่อที่พอคลำ ๆ เอาได้ เพราะข้อจำกัดในการมองเห็น
เสร็จจากแผนกหู  เข้าสู่แผนกตา ด้วยความไม่รู้ เราก็มาขอวัดสายตาจากแผนกตาที่โรงพยาบาล ถึงคิวของตา
พยาบาลถามว่ามารักษาอะไร ??
“พาคุณตามาตรวจวัดสายตาเพื่อต้องการเปลี่ยนแว่นค่ะ” เราตอบไปตามความต้องการของคนไข้ที่ต้องการรักษา ต้องการได้เครื่องช่วยการมองเห็นที่ดีกว่าอันเดิม
“ที่นี่ไม่รับตรวจสายตา ไม่แจกแว่น  ถ้าอยากตรวจสายตาให้ไปที่ร้านตัดแว่น แต่ถ้าจะรักษาตาก็บอกมาว่าจะรักษาอะไร” พยาบาลบอกกึ่งดูถูกหรือดูแคลนก็ไม่อาจคาดเดาใจเขาได้
“งั้นไม่เอาหละค่ะ  ไม่รักษาเพราะไม่เป็นโรค แค่อยากมาตัดแว่น มาวัดสายตาให้คุณตา” เราตอบกลับไปตามเจตนารมณ์เดิม คือพาท่านมาแล้วให้ได้ทั้งสองอย่าง คือ ตาและหู
“ก็บอกว่าไม่แจกแว่น  ไม่ตรวจวัดสายตา” คำพูดสุดท้ายที่พยาบาลบอกแว่วเข้ามาในโสตประสาท ถ้าไม่ถือบัตรหรือสวมบทเจ้าหน้าที่มูลนิธิฯ อยากจะขอวัดคารมกับพยาบาลรุ่นแม่ผู้นี้เช่นกัน ว่าจะขนาดไหน
สรุปวันนี้เราไม่สามารถช่วยอะไรคุณตาได้เลย  ทั้งเรื่องการได้ยินและสายตาที่คุณตาคาดหวังมากมายทีเดียวว่าวันนี้ตาจะได้เห็นชัดหูจะได้ยิน
สิ่งที่ทำได้ตอนนี้คือการบอกกล่าว เพราะมันเกินกำลังเราแล้วสำหรับเงินก้อนนี้
“9,000บาท      สำหรับช่วยจัดซื้อเครื่องช่วยฟัง”
” 5,000 บาท      สำหรับการวัดสายตาประกอบแว่น”
ใครที่พอช่วยกันได้คนละนิดละหน่อยให้ความหวังสุดท้ายในบั้นปลายชีวิตคุณตาได้มามองเห็น และให้ได้ยินอีกครั้งแม้จะเพียวหูข้างเดียวก็ตาม
สามารถช่วยสมทบทุนการจัดซื้ออุปกรณ์ช่วยฟังและวัดสายตาประกอบแว่น เพื่อช่วยเหลือคุณตาอาซอง  เชมือ วัย 89 ปี ผ่านโครงการกองทุนเสื้อผ้ามือสอง  มูลนิธิกระจกเงา  ได้ที่
” บัญชีออมทรัพย์  ธนาคารกรุงไทย  สาขาห้าแยกพ่อขุนเม็งราย เลขที่บัญชี 539-0-04991-8 ชื่อบัญชี ปริสุทธา สุทธมงคล,วีระ  อยู่รัมย์,สุจิตรา  ศักดิ์แก้ว “
++ กรณีสมทบทุนช่วยเหลือ ขอความกรุณาผู้บริจาคทุกท่านแจ้งยอดบริจาคมาที่ nanay_jung@hotmail.com เพื่อทางเราจะได้จัดทำหนังสือขอบคุณ ส่งกลับไปยังท่านผู้ใหญ่ใจดีทุกท่าน ++
หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
นางสาวรัชนีวรรณ  สุขรัตน์  (เจ้าหน้าที่โครงการระดมทุนเพื่อสังคม มูลนิธิกระจกเงา)
โทร.053-737425
“แล้วเราจะได้เห็นภาพการเดินของคุณตาอีกครั้งในวันที่ไปเครื่องช่วยฟังและแว่นสายตาคันใหม่ มาร่วมสร้างภาพนี้ให้เกิดขึ้นด้วยกันนะค่ะ”
ขอบคุณค่ะ
  write by: Ann Sukharat
Mon, 07/29/2013
Copyright © 2018. All rights reserved.