กว่าจะถึงวันที่ฝันเป็นจริง

ชีวิตทุกชีวิตหากต้องพบเจอกับความมืดมิดก็ย่อมต้องดิ้นรนหาแสงสว่างนำทาง ชีวิตฉันเกิดมาเหมือนหลงเข้าไปในอุโมงค์ลึกที่มืดมิด เส้นทางชีวิตไร้แสงสว่างส่องนำทาง พ่อ แม่ พี่ น้อง ทุกคนต่างเหนื่อยล้าและบอกว่าขอยอมแพ้ แต่ฉันยังมีฝันถึงจะมีกำแพงกั้นขวางทางเดิน “ ฉันจะทลายกำแพงนั้นลงมาเอง ” เพื่อจะได้มองเห็นเส้นทางสู่ฝัน
ในความมืดมิดหากมองอย่างตั้งใจ เราจะเห็นแสงสว่างส่องเข้ามาจากปลายอุโมงค์ ถึงแม้แสงมันจะริบหรี่แต่ที่นั่นก็ยังมีแสงส่องมาให้เห็น แสงแห่งฝันจากแดนไกลทำให้ฉันมีแรงฮึดสู้ ฉันตัดสินใจที่จะก้าวเดินออกไปหาแสงสว่าง จะไม่นั่งจมกับความหวังลมๆแล้งๆ
ฉันจะหาหนทางทุกวิถีทางเพื่อให้ได้ออกไปจากอุโมงค์นี้ แต่แล้วฉันกลับพบว่ามันไม่ง่ายเลย ยิ่งฉันพยายามวิ่งตาม แสงสว่างนั้นเหมือนจะยิ่งไกลออกไปทุกที ด้วยสองเท้าก้าวเดินบนเส้นทางที่มืดมิด หลายต่อหลายครั้งที่ฉันต้องล้มลุกคลุกคลาน หลายต่อหลายครั้งที่ถูกขวากหนามทิ่มแทงทำให้ฉันแสนเจ็บปวด หลายต่อหลายครั้งที่ต้องพบกับผิดหวังเมื่อปลายทางอยู่ไกลเกินกว่าที่ฉันคิด มันไม่ง่ายเลยจริง ๆ กับเส้นทางเดินนี้ที่ฉันเลือกเผชิญ
หลายครั้งที่อุปสรรคถาโถมเข้ามาจนแทบรับไม่ไหว หลายครั้งที่ท้อจนคิดอยากจะถอย แต่เมื่อมองย้อนกลับไประยะทางที่ที่ฉันก้าวเดินมามันไกลเกินกว่าที่ฉันจะย้อนกลับไปได้เสียแล้ว
ก่อนการก้าวเดินก้าวแรก ฉันได้แบกรับความหวังของใครหลายๆคนมาด้วย วันนี้ถ้าหยุดเดินและหันหลังกลับ ทิ้งความหวังไว้กลางเส้นทางเท่ากับว่าฉันได้เอาความหวังของทุกคนมาทิ้งไว้กลางเส้นทาง ฉันทำเช่นนั้นไม่ได้ ฉันจะยอมแพ้ไม่ได้เด็ดขาด ฉันไม่มีสิทธิ์ทำลายความหวังของใคร ฉันต้องทำให้ทุกคนที่รอคอยสมหวัง เพราะ “ ฉันไม่ได้เกิดมาเพื่อยอมแพ้ ”
“ ต่างด้าว ” คำๆนี้ยังดังก้องในหูฉันจนถึงทุกวันนี้ คำเดียวที่ทำให้ฉันหดหู่ใจทุกครั้งเมื่อได้ยินคำนี้ ฉันเชื่อว่าไม่มีใครภูมิใจกับคำนี้แน่นอน คำที่ฉันถูกเรียกขาน ฉันรู้ซึ้งถึงความขมขื่นนั้นดีในฐานะผู้ถูกเรียกขาน มันแสนเจ็บปวด อับอายแค่ไหน ฉันไม่สามารถบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้หมด และคงเป็นเรื่องยากที่จะให้ใครมาเข้าใจความรู้สึก มันเป็นเหมือนคำพูดที่ว่า “ใครไม่เจอกับตัวเอง ไม่มีวันเข้าใจ”
การใช้ชีวิตของฉันในแต่ละวันมันเหมือนชีวิตนี้มีแต่ปัญหาจะทำอะไรก็ดูจะติดขัดไปหมด ต้องต่อสู้ดิ้นรนมากกว่าคนอื่น ๆ เป็นเท่าตัว และมักจะถูกตัดโอกาสในหลาย ๆ ด้านด้วยคำประกาศิตสั้น ๆ “คนต่างด้าว” ที่มักจะมาพร้อมกับคำพูดดูถูก ท่าที การกระทำ สีหน้า สายตา ที่แสดงออกชัดเจนว่า เราเป็นตัวประหลาดเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจของสังคมนี้ หรือเป็นอะไรก็ตามที่ไร้ซึ่งคุณค่าความเป็นคนในสายตาใครต่อใคร ที่ดูหมิ่นเหยียดหยามกดขี่ข่มเหงเอารัดเอาเปรียบได้เต็มที่ ไม่จำเป็นต้องแสดงน้ำใจหรือเห็นใจ นี่คือเหตุการณ์ที่เราต้องทำใจยอมรับและทำตัวให้เคยชิน เพราะต้องพบเจอบ่อยครั้ง หนึ่งคำถามที่ฉันอยากได้คำตอบ คือ “ฉันทำผิดอะไร”
ไม่หรอกฉันไม่ผิด และฉันจะพิสูจน์ให้เห็นว่าฉันไม่ใช่คนที่มีความผิด ฉันไม่ได้เกิดมาเพื่อให้ใครกดขี่ข่มเหง ฉันมีสิทธิใช้ชีวิตเหมือนคนอื่นทั่วไป ฉันก็แค่คนไทยที่เสียสิทธิเท่านั้นเอง ฉันไม่ใช่คนต่างด้าวอย่างที่ถูกกล่าวหา ฉันจะทวงสิทธิและสถานะของทุกคนในครอบครัวคืนมาให้ได้ แต่ฉันเหมือนหนูติดจั่นคิดแต่เพียงหวังจะมุ่งไปข้างหน้าโดยไม่รู้ว่าต้องเดินยังไง ต้องไปทางไหน ต้องเดินทางด้วยวิธีใดถึงจะไปถึงจุดหมายปลายทาง สุ่มเดาไปเรื่อย วนเวียนอยู่ที่จุดเดิม สุดท้ายก็ล้มเหลวกลับมาทุกครั้ง
ฉันไปติดต่อไปเดินเรื่องสถานะบุคคลที่อำเภอกี่ครั้งต่อกี่ครั้งก็มักจะถูกไล่ให้กลับไปรอฟังผลที่บ้าน เพราะไม่มีความรู้ไม่มีอะไรไปต่อกรกับเขาได้ เมื่อเขาชี้ไปทางไหนก็ทำตามสุดท้ายก็ล้มเหลว
ฉันกลับมานับหนึ่งใหม่ครั้งแล้วครั้งเล่า ผิดหวังมาจนนับครั้งไม่ถ้วน จนต้องกลับมาทบทวนตัวเองถึงได้รู้ว่าเพราะความ “ไม่รู้” ของฉันนี่เองที่ทำให้ก้าวไปไม่ถึงฝั่งฝัน เป็นเหตุให้ฉันต้องถอยกลับมายืนที่จุดเดิมบ่อยครั้ง
ฉันขาดสิ่งที่สำคัญที่สุดในการต่อสู้ นั่นก็คือ “ความรู้” ฉันต้องออกเดินทางตามหาความรู้ ในความโชคร้ายไม่ได้มีแต่คนใจร้ายเท่านั้นที่ผ่านเข้ามาในชีวิต แต่ยังมีคนดีๆกลุ่มหนึ่งที่เขายังมองเห็นความสำคัญของ “ชาวเขา” อย่างเรา คนกลุ่มนี้ไม่มองข้ามปัญหาที่คนส่วนใหญ่มองว่าเป็นปัญหาเล็กๆ พวกเขาพร้อมให้คำปรึกษา ให้ความช่วยเหลือ และให้ความเป็นธรรมกับคนไร้ที่พึ่ง และที่สำคัญเขาเปิดรับและให้โอกาสคนที่เรียกได้ว่าเป็น “ผู้ด้อยโอกาส” อย่างฉันให้ได้มาเรียนรู้หาประสบการณ์ วันนี้ฉันมีจุดหมายปลายทางแล้วจุดหมายปลายทางของฉันอยู่ที่สำนักงานกฎหมายคุ้มครองสิทธิและสถานะ มูลนิธิกระจกเงา จังหวัดเชียงราย ฉันไม่รู้เหมือนกันว่าอะไรทำให้ฉันมั่นใจ รู้แต่เพียงว่าจะไม่ปล่อยให้โอกาสดีๆนี้ผ่านไปเด็ดขาด
เด็กชาวเขาคนหนึ่งที่ชีวิตหมดหวังไร้ทิศทาง ไร้จุดหมาย ไร้อนาคต ไร้ความฝันได้รับความเมตตาให้ได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของสมาชิกครอบครัวใหญ่ที่อบอุ่น จากคนที่เคยคิดว่าโอกาสดีๆไม่เคยมีสำหรับเธอ จากคนที่เคยคิดว่าสังคมโหดร้ายเกินกว่าจะทนอยู่ได้ จากคนที่เคยมองว่าคนทุกคนในสังคมมองเราเป็นขยะสังคมเหมือนกันหมด
เมื่อได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของ มูลนิธิกระจกเงา จังหวัดเชียงราย ชีวิตที่มีแต่ความมืดมิดเหมือนได้พบแสงสว่างนำทาง ปัญหาใหญ่เล็กลงทันที เพราะเขาทุกคนไม่ได้ปล่อยให้ฉันเผชิญกับปัญหาเพียงลำพังอีกต่อไป
เมื่อสมาชิกครอบครัวมีปัญหา คนในครอบครัวก็ช่วยกันแก้ไข มูลนิธิกระจกเงา จังหวัดเชียงราย ให้อะไรฉันมากมายกว่าที่คิด ฉันได้รับทั้งความรัก ความหวังดี ความอบอุ่น การดูแลเอาใจใส่ จากพี่ ๆ เพื่อน ๆ ทีมงานและคนทำงานทุกคน มิตรภาพดี ๆจากเพื่อน ๆ อาสาสมัคร เพื่อน ๆนักศึกษาฝึกงาน ทุกคนพร้อมช่วยเหลือ ให้คำปรึกษา ชี้แนะนำทาง เป็นกำลังใจให้
การใช้ชีวิตในมูลนิธิกระจกเงา แม้นมีระยะเวลาเพียงแค่ 4 เดือน แต่เป็นสี่เดือนที่ลบปมด้อยในใจฉันได้หมดสิ้น จากที่เคยคิดว่าใครต่อใครที่ไม่เป็นแบบเราเขาต้องไม่ยอมรับและต้องดูถูกเอาเปรียบเราทุกอย่างนั้นลืมไปได้เลย เพราะที่แห่งนี้พิสูจน์ให้ได้รู้แล้วคนดี ๆยังมีอยู่จริงเพียงแค่เรากล้าเปิดใจรับ มีหน่วยงานที่ยินดีช่วยเหลือ ประคับประคอง ให้โอกาส สนับสนุน และพร้อมจะแก้ปัญหาไปด้วยกัน ไม่เคยมองข้ามปัญหาไม่ว่าปัญหาจะเล็กหรือใหญ่ก็ตาม หน่วยงานและบุคคลที่ทำคุณประโยชน์ให้สังคม โดยไม่หวังผลประโยชน์ส่วนตัว ทำให้รู้ซึ้งและเข้าใจถึงความหมายของคำว่า “ปิดทองหลังพระ”
หลังจากเก็บเกี่ยวความรู้และประสบการณ์มากมายจากมูลนิธิกระจกเงา ทั้งจากการรับฟัง การศึกษาจากผลการทำงานที่ผ่านมาของพี่ๆทีมงาน และจากประสบการณ์จริงจากการลงพื้นที่ช่วยเหลือพี่น้องที่ได้ชื่อว่าเป็น “บุคคลไร้รัฐ ไร้สัญชาติ” มาเต็มที่แล้ว ศึกทวงสิทธิและสถานะก็เริ่มขึ้นอีกครั้งโดยมีพี่ๆทีมงานด้านสิทธิและสถานะบุคคล (พี่ชาติ พี่แหม่ม พี่จะแส)ยกตำแหน่งให้ฉันเป็นแม่ทัพ (คนเดินเรื่อง) และพี่ๆทีมงานเป็นฝ่ายสนับสนุนและที่ปรึกษา
เราเริ่มนับหนึ่งใหม่กลับมาสำรวจเอกสารหลักฐานที่เรามี กลับมาดูว่าปัญหามันอยู่ตรงไหน ติดขัดอะไร เริ่มจากของพ่อ (นายเลาเก้า แซ่เติ๋น) ที่ได้ทำเรื่องขอเพิ่มชื่อในทะเบียนราษฎร์ค้างไว้ เนื่องจากการเรียกร้องสิทธิและสถานะของครอบครัวเราดำเนินมานานมากแล้ว เอกสารทุกอย่างมีพร้อมแล้วจึงไม่ค่อยยุ่งยากเรื่องเอกสารเท่าไหร่ เพียงแต่ต้องเพิ่มน้ำหนักความน่าเชื่อถือของเอกสารด้วยการหาพยานมาให้ปากคำเพิ่มเติม และยื่นคำร้องไปใหม่ มาถึงของแม่ (นางฟามเสี่ยว แซ่เติ๋น) ที่ต้องไปตรวจ ดีเอ็นเอ เพราะไม่มีเอกสารยืนยันสิทธิความเป็นคนไทยเลย ระหว่างที่รอผลตรวจ ดีเอ็นเอ เราก็ได้รับการติดต่อมาจาก ที่ว่าการอำเภอปง จังหวัดน่าน ว่าคำร้องของพ่อ (นายเลาเก้า แซ่เติ๋น) ได้รับการอนุมัติแล้ว และได้นัดหมายถ่ายบัตรประจำตัวประชาชน
ระหว่างนี้ฉันได้ขอยื่นขอมีสัญชาติไทยตามบิดา แต่ทางเจ้าหน้าที่ไม่ดำเนินการให้โดยให้เหตุผลว่า รอผลตรวจ ดีเอ็นเอ ออกมาก่อนแล้วจะทำเรื่องขอลงรายการสัญชาติไทยพร้อมกัน ฉันก็ยินยอมที่รอจนได้ผลตรวจ ดีเอ็นเอ แต่การรอคราวนี้ฉันมิใช่คนรอแบบเด็กดีที่เชื่อฟังอำเภออีกต่อไป ฉันไม่นิ่งนอนใจรอนาน และจะคอยดูช่วงระยะเวลาดำเนินการ เมื่อเห็นว่าครบกำหนดฉันก็จะไปตามเอกสารเองที่อำเภอ
ถ้าบอกว่าให้รอ ฉันก็จะรอแค่ข้ามวันแล้วไปถามอีกในวันถัดไป สิ่งที่เห็นได้ชัดคือ เมื่อเรารู้ขั้นตอนวิธีการทุกอย่าง การดำเนินไปตามขั้นตอนของมันถึงจะยังต้องพบเจอกับคำว่า รอ แต่เราก็มั่นใจได้ว่าไม่ได้รอแบบไร้ความหลัง มิได้รอแบบลมๆแล้งๆเหมือนที่ผ่านมา
เส้นทางเดินนี้ก็ใช่ว่าจะไม่มีอุปสรรคปัญหาใดเลย ทุกเส้นทางย่อมมีปัญหา จนบางครั้งท้อจนอยากถอดใจแต่ฉันก็ยังพยายามลุกขึ้นให้ได้ ระยะเวลาเดินเรื่องใช้เวลาไปเป็นปีเหมือนกันจนได้รับข่าวดีว่าทุกอย่างเรียบร้อยดี ได้รับอนุมัติให้มีสัญชาติไทยแล้ว ณ ตอนนี้ ฉันและทุกคนในครอบครัวได้รับสิทธิและสถานะความเป็นไทยคืนมาแล้ว
มาถึงตอนนี้บุคคลที่ไม่อาจลืมได้เลยคือ “ครูหลุยส์” ขอบคุณที่ให้คำปรึกษาชี้แนะและนำพาให้หนูได้มารู้จักกับ “มูลนิธิกระจกเงา” ที่ช่วยให้หนูได้พบทางสว่างบนทางฝันได้รับความรู้และประสบการณ์ที่หาจากที่ไหนไม่ได้ ขอบคุณมูลนิธิกระจกเงาที่ให้ทั้ง ความรัก ความอบอุ่น การดูแลเอาใจใส่ ความช่วยเหลือทุกๆอย่าง ขอบคุณที่นำพาให้ได้มาเรียนรู้ได้พบเจอได้รู้จักกับหน่วยงานที่ให้ความช่วยเหลือด้านสิทธิและสถานะ และขอบคุณหน่วยงานเพื่อสังคมทุกๆหน่วยงานที่ให้ความรู้ให้ประสบการณ์และที่สำคัญ ขอบคุณที่ทำให้รู้ว่าพวกเรา “คนชายขอบ” ไม่ได้ถูกทอดทิ้ง ขอบคุณที่ก่อต้ององค์กรขึ้นให้เราได้มีที่พึ่ง ขอบคุณมากจริงๆ สุดท้ายแล้วขอบคุณความหวังดีเล็กๆจากเพื่อนรัก นิชนิภา แซ่เติ๋น ที่แนะนำให้รู้จักกับครูหลุยส์และทำให้ฉันมีวันนี้ได้
สุดท้ายนี้ฝากถึงเพื่อนๆพี่น้องทุกคนที่กำลังประสบปัญหาด้านสิทธิและสถานะกันอยู่ ขอให้สู้อย่าเพิ่งถอดใจยอมแพ้ ปัญหาของเรา เราต้องดิ้นรนแก้ไข ไม่ใช่รอให้คนอื่นมาช่วยอยู่ตลอดเวลา เมื่อเรามั่นใจว่าเราคือคนไทย เกิดมาบนผืนแผ่นดินไทย เราก็ย่อมเป็นคนไทย ไม่มีใครพิพากษาชีวิตเราได้ “สู้” แล้วซักวันฝันของเราจะเป็นจริง

write by : น้องลิน

Copyright © 2018. All rights reserved.