หรือชาวบ้านเข้าไม่ถึงจึงทำให้พึ่งรัฐได้ช้า ?

วันหยุดยาวช่วงเทศกาลเข้าพรรษาเด็กหอพักในโรงเรียนหลายคนได้เดินทางกลับบ้านวันที่ 9 กรกฎาคม ที่ผ่านมาเด็กชายลีหน่อง อายุ 13 ปี เดินทางกลับมาจากโรงเรียนเวียงผาวิทยา อำเภอแม่สรวย เพื่อเดินทางมายังอำเภอเมืองเชียงรายระยะทางประมาณ 70 กิโลเมตร ระหว่างการเดินทางกลับบ้านเมื่อมาถึงตัวเมืองเชียงราย เด็กไม่ได้กลับบ้าน แต่วนเวียนอยู่แถวร้านเกมบริเวณสถานีขนส่งผู้โดยสารเชียงราย 1 (สถานีขนส่งฯเก่า) กว่านางเลอะ ผู้เป็นแม่จะทราบเรื่องว่าลูกชายเดินทางออกจากหอพักโรงเรียน เพื่อกลับมาบ้าน เวลาก็ล่วงเลยไปสองวันแล้ว มาทราบจากเพื่อน ๆ ในโรงเรียนเดียวกัน เมื่อวันที่ 11 กรกฎาคม ว่าลูกของตนเดินทางกลับมาจากโรงเรียนแล้ว แม่จึงได้ทราบว่าลูกชายของตนหายไป และออกติดตาม สอบถามหาเบาะแสจากเพื่อน รวมถึงคนรู้จักของลูกชาย และเดินทางไปแจ้งความคนหายที่สถานีตำรวจในจังหวัดเชียงราย ในวันที่ 24 กรกฎาคม แต่ทว่าทางเจ้าหน้าที่ไม่ได้รับแจ้งความ หรือลงบันทึกใดๆไว้เลย เจ้าหน้าที่ทำหน้าที่เพียงรับเอกสารจากนางเลอะเท่านั้น เมื่อติดตามทวงถามความคืบหน้าก็ไม่มีความคืบหน้าใดๆ
วันที่ 5 สิงหาคม นางเลอะได้เข้ามาติดต่อขอความช่วยเหลือที่มูลนิธิกระจกเงา และเดินทางไปแจ้งความอีกครั้งพร้อมกับเจ้าหน้าที่ของทางมูลนิธิ การเข้าแจ้งความครั้งนี้พบกับเจ้าหน้าที่ตำรวจคนเดิม แต่นางเลอะจำไม่ได้ว่าได้เข้าแจ้งความครั้งแรกเมื่อวันที่เท่าไร จึงต้องกลับไปตรวจสอบเอกสารอีกครั้ง และกลับมาใหม่ในตอนบ่ายของวันเดียวกัน เพื่อแจ้งความอีกครั้งด้วยตัวเอง
จากคำบอกเล่าของนางเลอะ นางเลอะเล่าว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจบอกเพียงแค่ว่า เรื่องที่เกิดขึ้นเป็นพื้นที่รับผิดชอบของพื้นที่อำเภอแม่สรวย ก็ให้ไปแจ้งความที่นั่น โดยที่ไม่ยอมฟังรายละเอียดว่าสถานที่ที่เด็กหายไปจริงๆคือ อำเภอเมืองเชียงราย และถูกปฏิเสธการรับแจ้งความ ในวันเดียวกันเจ้าหน้าที่ของมูลนิธิกระจกเงาได้เข้าไปขอพบเจ้าหน้าที่คนดังกล่าวและพูดคุยทำความเข้าใจกันอีกครั้ง การเข้าพบเจ้าหน้าที่ตำรวจครั้งนี้ เจ้าหน้าที่คนเดิมก็ได้บอกปัดความรับผิดชอบและให้ไปพบเจ้าหน้าที่ตำรวจฝ่ายสอบสวนแทน การพูดคุยเกิดขึ้นอีกครั้งกับเจ้าหน้าที่ตำรวจฝ่ายสอบสวน ในที่สุดทางเจ้าหน้าที่ตำรวจก็รับแจ้งความ
จากเรื่องราวข้างต้น ปัญหาที่เกิดขึ้นก็คือการที่เจ้าทุกข์ไม่สามารถแจ้งความได้ ซึ่งเป็นไปได้จากหลายสาเหตุ แต่ประเด็นที่น่าสนใจคือ เจ้าทุกข์เป็นคนชนเผ่า ถือบัตรประจำตัวบุคคลที่ไม่มีสถานะทางทะเบียน อาจทำให้ไม่ได้รับสิทธิเท่าเทียมกับบุคคลทั่วไปที่ถือสัญชาติไทย แต่ตามหลักปฏิญญาว่าด้วยสิทธิชนเผ่าขององค์การสหประชาชาติแล้ว คนชนเผ่าเหล่านี้ควรได้รับการปฏิบัติเช่นเดียวกับคนในชาติโดยปราศจากการเลือกปฏิบัติ ไม่ว่าจะในเรื่องความเป็นอยู่ ในเรื่องความยุติธรรมตามกฎหมาย ก็ควรจะมีสิทธิได้รับอย่างเท่าเทียม แต่ทว่านางเลอะกลับถูกตัดสิทธิที่จะเรียกร้องความเป็นธรรมในการตามหาลูกด้วยการไม่รับแจ้งความจากเจ้าหน้าที่ตำรวจในท้องที่ ทั้งๆที่เจ้าหน้าที่ของรัฐควรจะเป็นผู้ที่ช่วยเหลือและอำนวยความสะดวกให้กับคนในรัฐตามสิทธิที่พึงได้รับ ถึงแม้ว่าจะเป็นบุคคลที่ไม่มีสถานะทางทะเบียน แต่ก็ถือว่าเป็นบุคคลของรัฐจึงไม่ควรที่จะถูกละเลยเช่นกัน ถ้าขอบเขตของเรื่องดังกล่าวเกินหน้าที่ของตนที่จะจัดการ ก็ควรจะช่วยอำนวยความสะดวกด้วยการบอกให้ชัดเจนว่าเจ้าทุกข์ควรจะทำอะไร และไปขอความช่วยเหลือจากใครได้อีกบ้าง ไม่ใช่การพูดเพื่อปัดความรับผิดชอบออกไปอย่างเดียว
และนอกจากนี้ แม่เด็กเองก็ไม่มีความรู้เกี่ยวกับการปฏิบัติตัวเมื่อเด็กหาย และสิ่งที่ตนควรจะได้รับจากเจ้าหน้าที่ด้วย จากศูนย์ข้อมูลคนหายฯของมูลนิธิกระจกเงา ได้มีการให้ความรู้เรื่องกฎหมายและการปฏิบัติตัวเมื่อเกิดคนหาย ซึ่งถ้าชาวบ้านสามารถเข้าถึงข้อมูลเหล่านี้ได้ง่ายขึ้น ก็อาจจะทำให้ปัญหาไม่ยืดเยื้อ และเสียเวลาอย่างที่เกิดขึ้น อย่างในกรณีที่เจ้าหน้าที่ไม่รับแจ้งความ แม่เด็กสามารถทำการร้องเรียนได้ แต่ก็ไม่ได้ทำอะไร และต่อมา หากเจ้าหน้าที่อ้างว่าเรื่องเกิดในพื้นที่อื่นจึงไม่รับแจ้งความ แต่ว่าสถานีตำรวจนั้นเป็นภูมิลำเนาของผู้หาย หรือครอบครัวผู้หาย การแจ้งความนั้นสามารถทำได้ หรือรวมไปถึงการที่ไม่ได้รับสำเนาบันทึกประจำวัน เพื่อยืนยันข้อมูลการแจ้งความ และไม่มีการขอรายละเอียดการติดต่อจากเจ้าหน้าที่ เพื่อคอยติดตามความคืบหน้า การที่ชาวบ้านไม่มีความรู้พื้นฐานในเรื่องเหล่านี้ ทำให้เรื่องที่ต้องการแก้ไขจริงๆไม่คืบหน้าไปไหนเพราะต้องมาคอยวนเวียนแจ้งความอยู่ทั้งวัน ส่งผลให้งานด้านอื่นๆล่าช้าตามไปด้วย ซึ่งนี่ก็เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นส่วนใหญ่เมื่อชาวบ้านต้องการความช่วยเหลือในด้านกฎหมาย แต่กลับไม่มีความรู้ในเรื่องสิทธิพื้นฐานที่ตัวเองสามารถทำได้ การดำเนินการด้วยตัวเองจึงมักเกิดปัญหาตามมาอยู่บ่อยครั้ง ถ้าชาวบ้านสามารถได้รับความรู้ถึงสิทธิต่างๆที่ควรมีได้มากกว่านี้ ก็จะช่วยให้เจ้าหน้าที่ทำงานได้ง่ายขึ้น และสามารถแก้ปัญหาได้เร็วกว่าที่เป็นอยู่อีกด้วย
บัดนี้เด็กชายลีหน่อง ได้กลับมาสู่อ้อมอกแม่เป็นที่เรียบร้อยแล้วจากความร่วมมือของหลายฝ่าย เรื่องนี้น่าจะเป็นอีกหนึ่งอุทาหรณ์ในการใส่ใจ รวมถึงการเข้าถึงความรู้สึกของครอบครัวผู้ประสบเหตุ

Copyright © 2018. All rights reserved.